external-popup-close

คุณกำลังออกจากเว็บไซต์ ทีทีบี
เพื่อเข้าสู่

https://www.ttbbank.com/

ตกลง

ทีทีบี จับมือกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ชูโอกาสใหม่ให้ SME ไทย

30 มี.ค. 2566

ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ร่วมมือกับพันธมิตรโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดเสวนาเสริมความรู้แก่เอสเอ็มอี ที่ทำธุรกิจส่งออก-นำเข้าไทย อย่างครบถ้วน ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลก สถานการณ์การส่งออก-นำเข้า รวมถึงตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจในปีนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนธุรกิจการค้าระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมเติบโตในตลาดต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน

นางสาวสุกัญญา ตรีเสน่ห์จิต รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าเอสเอ็มอี ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี กล่าวว่า ธนาคารพร้อมช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่งออก-นำเข้าของไทย ซึ่งมักประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งความรู้ในการทำการค้าระหว่างประเทศ ที่มีกฎระเบียบมากมาย การจ่ายและรับเงินกับคู่ค้าระหว่างประเทศมีความซับซ้อน อีกทั้งมีความเสี่ยงต้นทุนเพิ่มจากความผันผวนของค่าเงิน เพื่อให้สามารถค้าขายระหว่างประเทศได้ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยร่วมมือกับพันธมิตรอย่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ที่ช่วยสนับสนุนและขับเคลื่อนลูกค้าเอสเอ็มอีให้เติบโตพร้อมเดินหน้าสู่การทำตลาดต่างประเทศ ผ่านการจัดงานเสวนา “โอกาสใหม่เอสเอ็มอีไทยสู่ตลาดโลก 2023” ที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เจาะลึกถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลก สถานการณ์การส่งออก โอกาสและตลาดใหม่สำหรับเอสเอ็มอี พร้อมด้วยแนวทางบริหารความเสี่ยง และนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการจากภาครัฐ จากผู้บริหารที่มากประสบการณ์ ทั้งจากทางธนาคารและ DITP

 


นายนริศ สถาผลเดชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี กล่าวว่า ปัจจุบันตัวเลขการส่งออกและนำเข้า ดีกว่าช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน คือการส่งออกของไทยปี 2565 ที่เติบโต 17% สะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาเข้มแข็ง แม้ยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนสูง ส่วนปี 2566 การเติบโตของส่งออกคาดว่าจะเป็นแบบชะลอตัว โดยแนะโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย คือ การเลือกเจาะตลาดที่เป็นม้านอกสายตา อย่างอินเดีย และตลาดที่ไม่ใหญ่แต่เริ่มมีความสำคัญ อย่างตะวันออกกลาง รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่น่าสนใจของไทย เนื่องจากมีความนิยมชมชอบสินค้าไทยอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอาหารที่มีการนำเข้าจากไทยมากถึง 6.2% แต่ยังมีสิ่งที่ต้องระวัง ได้แก่ ต้นทุนที่สูงขึ้น แรงงานขาดแคลนหากเศรษฐกิจเริ่มชะลอลง

ขณะที่ นายพรวิช ศิลาอ่อน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 1 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึง เทรนด์การส่งออกที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 ได้แก่ 1) ความตื่นตัวเรื่องความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ผลจากสงคราม ส่งผลให้ทั่วโลกต่างตื่นตัวเรื่องความมั่นคงทางอาหาร จึงเป็นโอกาสของไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกอาหารอันดับต้น ๆ ของโลก โดยในปี 2565 การส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมเกษตรของไทยขยายตัวได้ถึง 8.82% 2) แนวโน้มค่าระวางเรือลดลงต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2565 และมีทิศทางลดลงต่อไปอีกในปี 2566 เนื่องจากอุปทานตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในธุรกิจส่งออกที่ไม่ต้องแย่งตู้คอนเทนเนอร์กันเอง อีกทั้งยังมีผู้ให้บริการเป็นทางเลือกเพิ่มมากขึ้น 3) จีนผ่อนคลายมาตรการ Zero-COVID ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ การบริโภค และการผลิตในจีนจะกลับมาฟื้นตัว ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าไทย โดยเฉพาะผลไม้ อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าแฟชั่น ที่จะเติบโตตาม 4) กระแส BCG (Bio-Circular-Green) ที่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างยั่งยืน ถือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นทุน โดยนำวัตถุดิบใกล้ตัวมาต่อยอดเป็นสินค้าส่งออกตามแนวทาง BCG สร้างมูลค่าเพิ่มที่ตรงกับความต้องการของตลาดโลก

นอกจากนี้ ในส่วนของภาครัฐเองก็มีเครื่องมือสนับสนุนผู้ประกอบการ ผ่าน SMEs Pro-active by DITP ที่ช่วยสนับสนุนและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปแสดงสินค้าในต่างประเทศ หรือขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ เพื่อให้เอสเอ็มอีก้าวออกไปทำธุรกิจได้อย่างมั่นคง

 


ด้านนางสาวบุษรัตน์ เบญจรงคกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าธุรกิจตลาดเงินและธุรกรรมระหว่างประเทศ ทีทีบี แนะนำว่า ในปีนี้ผู้ประกอบการที่ทำการค้าระหว่างประเทศควรจับตา 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจ 2) ตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยน (FX) และทิศทางแนวโน้มดอกเบี้ย 3) การเปิดการท่องเที่ยวของจีน เพราะจะมีผลทำให้ค่าเงินบาทผันผวนค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ประเทศคู่ค้าหลักของไทย เกือบ 40-50% เป็นประเทศในเอเชีย แต่สกุลเงินที่ผู้ประกอบการใช้ซื้อขายกันยังเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ถึง 80% ซึ่งจากสถิติในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีความผันผวนสูงมาก หากผู้ประกอบการตั้งรับไม่ทัน ย่อมมีผลต่อต้นทุนที่สูงขึ้นได้

ทางธนาคาร จึงแนะนำให้ผู้ประกอบการใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐสำหรับการค้าขายในสัดส่วนที่ลดลง และปิดความเสี่ยงด้วยการใช้เงินสกุลท้องถิ่น (Local Currency) ในการซื้อขายกันมากขึ้น เช่น สกุลเงินของเอเชีย ซึ่งปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินบาท มีความผันผวนน้อยกว่า ทำให้บริหารต้นทุนได้ง่ายขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการไทยยังมีการใช้สกุลเงินที่หลากหลายสำหรับทำธุรกิจนำเข้าและส่งออกกับหลายประเทศ ทีเอ็มบีธนชาต จึงเป็นธนาคารแรกและธนาคารเดียวที่พัฒนาบัญชีเพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการการค้าระหว่างประเทศ นั่นคือ ttb multi-currency account หรือบัญชีบริหารหลายสกุลเงิน โดยบัญชีเดียวสามารถรองรับได้มากถึง 11 สกุลเงิน ผู้ประกอบการสามารถซื้อ-ขาย-รับ-จ่ายได้สะดวกทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งทำธุรกรรมเทรดไฟแนนซ์บนแพลตฟอร์ม ttb business one สามารถเข้าถึงได้ทุกอุปกรณ์ ตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่สนใจผลิตภัณฑ์และบริการด้าน ธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศสำหรับเอสเอ็มอี สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เจ้าหน้าที่บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าธุรกิจของท่าน (หากท่านเป็นลูกค้าธุรกิจของ ทีทีบี) หรือ ติดต่อศูนย์บริการลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต โทร. 0 2643 7000 วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 08:00 – 20:00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันหยุดธนาคาร