external-popup-close

คุณกำลังออกจากเว็บไซต์ ทีทีบี
เพื่อเข้าสู่

https://www.ttbbank.com/

ตกลง

6 จุดต้องรู้ก่อนเซ็นสัญญากู้ยืมเงิน มีอะไรบ้างที่มองข้ามไม่ได้

#fintips #เคล็ดลับการเงิน #สัญญาเงินกู้ #สินเชื่อเงินด่วนถูกกฏหมาย #สินเชื่อไม่ต้องใช้คนค้ำ #สินเชื่อส่วนบุคคล
27 ก.ย. 2567

การกู้ยืมเงินเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบทางการเงินอย่างมาก เพราะการเซ็นสัญญากู้ยืมเงินหมายถึงการผูกพันตัวเองให้ต้องชำระหนี้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาเงินกู้ ถ้าหากเราไม่ทำความเข้าใจในรายละเอียดของสัญญาให้ดี อาจนำมาซึ่งปัญหาทางการเงินในอนาคตได้

ดังนั้นการตรวจสอบเงื่อนไขต่าง ๆ ในสัญญากู้เงินก่อนเซ็นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าการกู้ยืมเงินนั้นเป็นไปตามที่เราคาดหวัง และจะไม่มีปัญหาในการผ่อนจ่ายภายหลัง


สัญญากู้ยืมเงินคืออะไร

สัญญากู้ยืมเงิน คือข้อตกลงทางกฎหมายระหว่างผู้ให้กู้ (เจ้าหนี้) และผู้กู้ (ลูกหนี้) โดยระบุเงื่อนไขต่าง ๆ ในการกู้ยืมเงิน เช่น จำนวนเงินที่กู้ อัตราดอกเบี้ย และระยะเวลาการชำระคืน สัญญาเงินกู้นี้มีผลผูกพันทางกฎหมาย ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงควรทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนก่อนลงนาม


จุดสำคัญที่ต้องตรวจสอบในสัญญากู้ยืมเงิน

การทำสัญญาเงินกู้ไม่ใช่เรื่องที่ควรรีบร้อน ควรใช้เวลาอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขต่าง ๆ อย่างละเอียด โดยเฉพาะ 6 จุดสำคัญต่อไปนี้

จุดสำคัญในการตรวจสอบสัญญาเงินกู้


1. อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ

อัตราดอกเบี้ยเป็นหัวใจสำคัญของสัญญาเงินกู้ ควรตรวจสอบว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระบุในสัญญาเป็นอัตราดอกเบี้ยกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี และรวมถึงค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด ค่าแรกเข้าและรายปี บางสถาบันการเงินอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในส่วนนี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของเรา ทำให้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นในแต่ละเดือน ทั้งนี้ หากคุณยื่นขอสินเชื่อส่วนบุคคล ทีทีบีแคชทูโก หรือรวมหนี้มาอยู่ที่ บัตรกดเงินสด ทีทีบี แฟลช เราไม่มีค่าธรรมเนียมเบิกเงินสด แรกเข้าและรายปี ให้คุณได้หมดกังวลไปได้เลย


2. เงื่อนไขการชำระเงินและระยะเวลาผ่อนชำระ

เงื่อนไขการชำระเงินในสัญญากู้ยืมเงิน เป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องตรวจสอบ ควรพิจารณาว่าเงื่อนไขการชำระเงินที่ระบุในสัญญาเหมาะสมกับความสามารถในการชำระของเราหรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไปภาระหนี้ที่ปลอดภัย

เมื่อนำมาอัตราส่วนเงินสำหรับใช้ผ่อนชำระหนี้กับรายได้ในแต่ละเดือน ไม่ควรเกิน 30-40% ของรายได้ ทั้งนี้ยังรวมถึงระยะเวลาผ่อนชำระและจำนวนงวดที่ต้องชำระอีกด้วย เช่น หากเรากู้เงิน 500,000 บาท ที่อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ระยะเวลา 5 ปี เราจะต้องผ่อนประมาณ 9,440 บาทต่อเดือน แต่ถ้าขยายเวลาเป็น 10 ปี ค่างวดจะลดลงเหลือประมาณ 5,300 บาท แต่เราจะเสียดอกเบี้ยรวมมากขึ้น

ดังนั้นการเลือกระยะเวลาในการผ่อนชำระจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้และภาระทางการเงินในระยะยาว ทั้งนี้ควรเลือกกู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว


3. หลักประกันและผู้ค้ำประกัน

ในกรณีที่สัญญากู้ยืมเงินต้องมีหลักประกันหรือผู้ค้ำประกัน เราควรพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้

  • มูลค่าของหลักประกัน โดยทั่วไป สถาบันการเงินจะให้กู้ในวงเงินที่ต่ำกว่ามูลค่าหลักประกัน เช่น 70-80% ของมูลค่าบ้านหรือรถยนต์
  • เงื่อนไขการยึดหลักประกัน ศึกษาว่าในกรณีใดบ้างที่สถาบันการเงินมีสิทธิยึดหลักประกัน และมีขั้นตอนอย่างไร
  • ความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกัน หากมีผู้ค้ำประกัน ทั้งเราและผู้ค้ำประกันต้องเข้าใจขอบเขตความรับผิดชอบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ ในกรณที่ผู้กู้หนีหนี้ ภาระหนี้ที่ค้างชำระก็จะมาตกอยู่ที่ผู้ค้ำ ทำให้ต้องชำระคืนให้แทนผู้กู้

ตัวอย่าง : หากเราใช้บ้านมูลค่า 2 ล้านบาทเป็นหลักประกัน สถาบันการเงินอาจให้วงเงินสินเชื่อสูงสุดประมาณ 1.4-1.6 ล้านบาท ซึ่งสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะมีเกณฑ์การพิจารณาวงเงินสินเชื่อที่แตกต่างกันออกไป


4. เงื่อนไขการผิดนัดชำระหนี้และบทลงโทษ

ควรตรวจสอบเงื่อนไขสัญญากู้เงินที่ระบุในกรณีที่เราไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดเวลา รวมถึงบทลงโทษที่อาจเกิดขึ้น เช่น การมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัดชำระ โดยสามารถเรียกเก็บได้ไม่เกิน 3% โดยมีการพิจารณาถึงประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาด้วย บางสถาบันการเงินอาจคิดค่าธรรมเนียมการชำระล่าช้า 200 บาทต่อครั้ง หรือแต่ก่อนที่จำเป็นต้องดอกเบี้ยผิดนัดอาจสูงถึง 15% ต่อปี หรือบางกรณีอาจสูงถึง 18% หรือ 22% ต่อปี ทำให้กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ (Affordability risk) ได้ อาจนำไปสู่การฟ้องร้องทางกฎหมายได้


5. สิทธิ์ในการชำระหนี้ก่อนกำหนด

การชำระหนี้ก่อนกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงินอาจเป็นทางเลือกที่ดีหากเรามีเงินเหลือ แต่ต้องพิจารณาเงื่อนไขต่อไปนี้ด้วย

  • ค่าธรรมเนียมการปิดหนี้ก่อนกำหนด ในกรณีกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย บางสถาบันการเงินอาจคิดค่าธรรมเนียมถึง 2-3% ของยอดเงินที่ชำระก่อนกำหนด ซึ่งที่สถาบันการเงินผู้ให้กู้จะสามารถเรียกเก็บค่าปรับรีไฟแนนซ์ได้ในช่วง 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา แต่สำหรับสินเชื่อบุคคล ตามข้อกำหนดของธนาคารแห่งชาติสามารถปิดหนี้ก่อนวันครบกำหนดชำระได้โดยไม่ต้องเสียค่าปรับ
  • ข้อจำกัดในการปิดหนี้ก่อนกำหนด อาจมีการกำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำหรือจำนวนครั้งที่สามารถชำระก่อนกำหนดได้ต่อปี
  • ประโยชน์จากการปิดหนี้ก่อนกำหนด การชำระหนี้ก่อนกำหนดอาจช่วยลดดอกเบี้ยรวมที่ต้องจ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น หากเรามีหนี้คงเหลือ 500,000 บาท และสามารถชำระหนี้ก่อนกำหนดได้ 100,000 บาท โดยไม่มีค่าธรรมเนียม เราอาจประหยัดดอกเบี้ยได้หลายหมื่นบาทตลอดอายุสัญญา


6. การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญาในอนาคต

ควรตรวจสอบว่าในสัญญากู้ยืมเงินระบุเงื่อนไขในการเปลี่ยนแปลงสัญญาอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยหรือระยะเวลาผ่อนชำระ เพื่อให้เราทราบถึงสิทธิ์และหน้าที่ของตนเองในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในอนาคต

สรุปเกี่ยวกับสัญญาเงินกู้


สรุปเกี่ยวกับสัญญากู้ยืมเงิน

ก่อนที่จะเซ็นสัญญากู้ยืมเงิน เราควรตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาให้ครบถ้วนและเข้าใจในทุกเงื่อนไขที่ระบุไว้ การตรวจสอบ 6 จุดสำคัญที่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ จะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

หากคุณกำลังพิจารณาทำสัญญาเงินกู้ และต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ทีทีบีพร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อทางการเงินอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ อย่าลืมว่า การตัดสินใจอย่างรอบคอบวันนี้จะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคตของคุณ

***กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 18%-25% ต่อปี