- ข้อดีของ Hybrid Working
- เครื่องมือช่วยในการทำงานแบบ Hybrid Working
- รูปแบบที่น่าสนใจของ Hybrid Working
นับตั้งแต่สถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย พนักงานเริ่มกลับเข้าสู่ระบบการทำงานแบบปกติ จากที่เคย Work from Home ต่อเนื่องมายาวนาน ขณะที่หลายองค์กรกลับไปใช้รูปแบบการทำงานแบบเดิม คือ ทำงานที่สำนักงานตลอด 5 วัน แต่ก็มีหลายองค์กรที่เลือกนำรูปแบบการทำงาน Hybrid Working มาปรับใช้ และกลับเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างไม่น่าเชื่อครับ
มารู้จัก Hybrid Working
รูปแบบการทำงาน Hybrid Working หรือการทำงานแบบยืดหยุ่น เป็นการผสมผสานระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศกับการทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น Work from Home หรือ Remote Work ขอเพียงแค่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลขณะทำงาน ประชุม หรือติดต่องานได้ ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานที่องค์กรส่วนใหญ่นำมาใช้ในการทำงานปัจจุบัน
รูปแบบที่น่าสนใจของ Hybrid Working
โดยความจริงแล้ว Hybrid Working เป็นคอนเซปต์ที่ค่อนข้างกว้างมาก ๆ สามารถแยกย่อยรูปแบบของ Hybrid Working ออกได้เป็นหลากหลายรูปแบบครับ สามารถแบ่งคร่าว ๆ ได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
Remote-First Model
ทำงานได้ทุกที่ สามารถเช็กอินได้หมด โดยไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะต้องเข้ามาทำงานในออฟฟิศกี่วัน แต่หากจะเลือกมาทำงานที่สำนักงานก็ได้ มีสถานที่ที่เปิดรับตลอด มักจะเห็นโมเดลนี้ในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ลดพื้นที่สำนักงานออก แล้วไปลงทุนกับซอร์ฟแวร์ต่าง ๆ ที่ช่วยซัพพอร์ตการทำงานผ่านอินเทอร์เน็ต
Office Occasional Model
เป็นโมเดลที่กำหนดวันเข้าออฟฟิศตายตัวในแต่ละสัปดาห์ ถือเป็นโมเดลที่หลาย ๆ ออฟฟิศเลือกใช้เพราะเป็นทางเลือกที่ค่อนข้างสมดุล ได้มีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถรักษาสังคมเพื่อนที่ทำงาน มักจะเห็นในกลุ่มบริษัทรุ่นใหม่อย่างดิจิทัลเอเจนซี่ ไปจนถึงดีไซน์สตูดิโอต่าง ๆ
Office First Model
รูปแบบที่ยังคงให้ความสำคัญกับการทำงานที่ออฟฟิศ โดยส่วนมากจะมีทีมงานบริหารคอยดูแลจัดการอยู่ที่ออฟฟิศทุกวัน และพนักงานทั่วไป จะสามารถทำงานแบบ Remote ได้ โดยจะต้องกำหนดวันเข้าออฟฟิศทุกสัปดาห์ เป็นที่นิยมกับบริษัทขนาดกลาง-ใหญ่ ที่ต้องอาศัยการประสานงานที่ค่อนข้างซับซ้อน
ข้อดีของ Hybrid Working
จากรายงานเรื่อง Hybrid Working จากซิสโก้ (Cisco) ในปี 2022 พบว่า พนักงานไทย 85% ชอบการทำงานแบบ Hybrid Working และรู้สึกมีความสุขกับการทำงานรูปแบบนี้ โดย 7 ใน 10 ยืนยันว่าทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีสาเหตุหลัก ๆ คือ
ตารางการทำงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ทำให้มีความอิสระในการคิดสร้างสรรค์ไอเดียได้มากขึ้น
Work-Life-Balance ดีขึ้น
เพราะวันที่ทำงานที่บ้านสามารถนำเวลาไปใช้กับตัวเองได้มากขึ้น ในขณะที่เรื่องงาน และสังคมเพื่อนที่ทำงานก็ไม่เสียหายจากบางวันที่ต้องเข้ามาทำงานในออฟฟิศ
สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้
โดยเฉพาะค่าเดินทาง ค่าที่จอดรถ ไปจนถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะอย่างอาหาร เครื่องดื่ม ที่มักจะต้องใช้จ่ายเมื่อออกจากบ้าน และคนทำงานกว่า 87% รายงานว่า Hybrid Working ช่วยพวกเขาประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้กว่า 270,000 บาทต่อปี (โดยเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าน้ำมันและการเดินทาง ค่าอาหารและความบันเทิง)
องค์ประกอบที่ช่วยในการทำงานแบบ Hybrid Working
การทำงานแบบ Hybrid Working ให้มีประสิทธิภาพได้นั้นต้องมีองค์ประกอบต่อไปนี้ ช่วยให้งานมีประสิทธิภาพ และพนักงานแฮปปี้ในการทำงาน
- การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น มีสัญญาณ Wi-fi และสัญญาณ 5G ที่มีประสิทธิภาพ
- โปรแกรมการทำงานที่รองรับ โปรแกรมที่ใช้ทำงานร่วมกันกับทีมและลูกค้า เช่น Google Drive, Trello หรือ Onedrive
- สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศในการทำงาน สิ่งแวดล้อมที่ดีช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ เช่น เป็นห้องทำงานที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนจากคนที่บ้าน หรือจากสัตว์เลี้ยง
- การวางแผนการทำงาน การทำงานแบบ Hybrid Working ต้องวางแผนการทำงาน ด้วยการกำหนดแผนงานในแต่ละวัน เพื่อไม่ให้การทำงานชิลล์เกินไป และงานไม่เสร็จ
ถึงตรงนี้ คงจะเข้าใจการทำงานแบบ Hybrid Working มากขึ้น พร้อมปรับตัวให้เข้ากับการทำงานที่ยืดหยุ่น ไม่ต้องยึดติดกับออฟฟิศมากเหมือนแต่ก่อน หรือหากคุณกำลังคิดจะสร้างกิจการ หรือธุรกิจส่วนตัว ก็อาจนำหลักการ Hybrid Working สร้างบรรยากาศการทำงานที่ทั้งมีคุณภาพ และตอบโจทย์ด้วยครับ
ข้อมูลจาก
- เว็บไซต์ swiftlet.co.th
- เว็บไซต์ the growth master
- เว็บไซต์ talance.tech
- เว็บไซต์ builtin.com
Sources
- https://swiftlet.co.th/hybrid-working-คือ/
- https://www.1-to-all.com/blog/hybrid-working-
- https://thegrowthmaster.com/growth-mindset/hybrid-working
- https://www.talance.tech/blog/hybrid-work-model-2022/
- https://builtin.com/remote-work/hybrid-work-model