สำหรับใครที่ต้องใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวันบ่อย ๆ ควรมีความรู้ในการตรวจเช็กรถยนต์เบื้องต้นด้วยตัวเองอยู่บ้าง เพื่อที่จะได้รู้ทันท่วงที ถ้าหากเกิดความผิดปกติขึ้นกับตัวรถยนต์ ก่อนที่จะลุกลามใหญ่โตทำให้เสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา ซึ่งวิธีการดูแลรถเบื้องต้นนี้ ผู้หญิงหรือมือใหม่ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองเช่นกัน เพียงแค่เปิดใต้ฝากระโปรงรถขึ้น แล้วเช็กตามจุดสำคัญต่าง ๆ ดังนี้
1. ก้านวัดน้ำมันเครื่อง
ให้มองหาก้านวัดน้ำมันเครื่อง โดยส่วนใหญ่มักจะอยู่ในตำแหน่งที่มีแถบพลาสติกสีแดงหรือสีส้มติดอยู่ แต่เพื่อความชัวร์ควรดูตำแหน่งตามคู่มือ เมื่อเจอแล้วให้ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาเช็ดทำความสะอาดปลายก้านก่อน แล้วใส่กลับเข้าไปที่เดิมอีกครั้ง ปล่อยไว้สักครู่แล้วดึงออกมาตรง ๆ เพื่อวัดระดับที่ได้ว่ามีน้ำมันเครื่องคงเหลืออยู่ปริมาณเท่าไร โดยระดับน้ำมันเครื่องที่ดีต้องอยู่ระหว่างจุด F (Full) กับ L (Low) และมีสีเหลืองใส
และหากระดับน้ำมันเครื่องอยู่ที่จุด L ให้ทำการเติมน้ำมันเครื่องเข้าไปที่ฝาเติมน้ำมันเครื่อง โดยหากรวยเสียบก่อนจึงค่อย ๆ เทน้ำมันเครื่องลงไปทีละนิดและคอยเช็กเป็นระยะ เพื่อไม่ให้เกินขีด F เพราะจะทำให้เกิดควันขาวจากน้ำมันเครื่องเข้ามาห้องเผาไหม้ และเพลาข้อเหวี่ยงรั่ว ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อเครื่องยนต์
2. น้ำมันเบรก
ตำแหน่งของถ้วยน้ำมันเบรกมักจะติดอยู่กับตัวถังรถ เมื่อหาเจอแล้วให้เปิดดูระดับของน้ำมันเบรก โดยมีจุดให้สังเกตระหว่างจุด Max กับ Min ถ้าในระดับปกติต้องอยู่ระหว่างระดับ Max กับ Min และมีสีใส แต่ถ้าหากเห็นว่าน้ำมันเบรกลดต่ำลงไปอยู่ที่ระดับ Min ควรรีบหาสิ่งผิดปกติโดยทันที หรือนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็กและแก้ไข
3. น้ำมันคลัตช์
สังเกตดูที่กระปุกน้ำมันคลัตช์ จะมีคำว่า Max กับ Min ซึ่งระดับน้ำมันคลัตช์ที่ดีควรอยู่ระดับ Max เสมอ แต่ถ้าพบว่าระดับน้ำมันคลัตช์ในกระปุกลดต่ำลงไปที่ระดับ Min ควรนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อตรวจหาสาเหตุ
4. น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์
ควรตรวจเช็กในขณะที่เครื่องยนต์กำลังทำงาน โดยใช้ก้านวัดที่ติดอยู่กับฝากระปุกน้ำมันเพาเวอร์ ซึ่งก้านวัดจะมีคำว่า HOT และ COLD อยู่คนละด้าน แต่ถ้าเป็นรถยนต์รุ่นใหม่ให้ดูที่กระปุกพลาสติกใส โดยหากวัดตอนที่เครื่องยนต์ยังเย็นอยู่ให้ดูด้าน COLD แต่ถ้าวัดตอนเครื่องร้อนให้ดูด้าน HOT และจะมีขีดระดับ Max กับ Min อยู่ด้วย ซึ่งน้ำมันเพาเวอร์ที่เหมาะสมควรอยู่ที่ระดับ MAX เสมอ และมีสีเหลืองอำพันหรือสีชมพูใส
5. หม้อกรองอากาศ
จะอยู่บริเวณด้านขวาบนติดกับลิ้นปีกผีเสื้อ ให้ทำการแกะกิ๊บล็อกหม้อกรองออกและตรวจสอบดูว่าไส้กรองอากาศมีคราบสกปรกหรือฝุ่นหนาเกาะหรือไม่ ถ้าหากไส้กรองอากาศยังสกปรกไม่มาก ให้ทำการเคาะฝุ่นออกและไม่ควรสัมผัสส่วนที่เป็นกระดาษกรอง เพราะอาจทำให้ไส้กรองเสียหาย
6. กล่องฟิวส์
เมื่อวงจรไฟฟ้าใด ๆ ของรถยนต์ไม่ทำงาน ควรตรวจสอบฟิวส์ว่าขาดหรือไม่ ถ้าฟิวส์ขาดให้เปลี่ยนฟิวส์ที่มีค่าการทนกระแสเท่าเดิม แต่หากไม่แน่ใจให้ดูในคู่มือหรือนำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเปลี่ยนให้ทันที
7. แบตเตอรี่
เป็นแหล่งจ่ายพลังงานให้ระบบไฟทั้งหมดบนรถ ควรดูแลด้วยการเติมน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอในกรณีที่เป็นแบตเตอรี่แบบน้ำ แต่ถ้ารู้สึกว่ารถสตาร์ตยากขึ้นควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อเช็กแบตทันที
8. น้ำมันเกียร์
ควรตรวจเช็กขณะที่สตาร์ตเครื่องยนต์ ด้วยการดึงก้านวัดน้ำมันเกียร์ออกมาเช็ดทำความสะอาดก่อน แล้วเสียบกลับลงไปใหม่ จากนั้นให้ดึงออกมาอีกครั้งเพื่อสังเกตระดับน้ำมันเกียร์ที่ปลายด้าม หากระดับน้ำมันเกียร์อยู่ที่ขีด Max ของก้านวัดฝั่ง Hot และมีสีเหลืองใสหรือสีแดง แสดงว่าน้ำมันเกียร์ยังใช้งานได้ปกติ
9. หม้อน้ำ
เพื่อความปลอดภัยควรจะเช็กในตอนที่เครื่องยนต์ไม่ร้อนจะดีที่สุด โดยทำการเปิดฝาหม้อน้ำหรือถังพักน้ำสำรองดูว่าน้ำลดหายไปมากน้อยแค่ไหน ถ้าหายไปก็เติมน้ำยาหล่อเย็นเพิ่มเข้าไป แต่ถ้าน้ำในหม้อน้ำมีสีของสนิม ควรนำเข้าศูนย์บริการ เพื่อเปลี่ยนถ่ายโดยทันที
10. ความดันลมยาง
ควรตรวจเช็กลมยางในขณะที่ยางยังเย็นอยู่เพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้อง โดยมีหน่วยเป็นปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) ซึ่งรถเก๋งขนาดเล็กความดันลมยางที่เหมาะสมอยู่ที่ 25-30 PSI รถเก๋งขนาดเล็ก-ใหญ่ประมาณ 30-35 PSI และรถกระบะความดันลมยางไม่ควรเกิน 65 PSI แต่ในกรณีที่เน้นขับทางไกล ควรเพิ่มลมยางอีกประมาณ 3-5 PSI
11. ถังเก็บน้ำฉีดกระจก
โดยทั่วไปสามารถใช้น้ำเปล่าเติมได้ปกติ แต่ควรมั่นใจว่าน้ำเปล่าที่ใช้เติมนั้นไม่มีตะกอนหรือหินปูน ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดการอุดตันที่ท่อ แต่ถ้าต้องการประสิทธิภาพการทำความสะอาดที่ดีขึ้น จะผสมน้ำยาล้างรถด้วยก็ได้เช่นกัน เนื่องจากน้ำยาล้างรถนั้นเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับทำความสะอาดผิวรถและกระจกรถได้อยู่แล้ว ก็จะไม่ส่งผลทำให้ตัวรถเสียหาย
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการตรวจเช็กเบื้องต้นที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นควรนำรถเข้าศูนย์บริการตรวจเช็กอีกที เพื่อให้รถของเรามีประสิทธิภาพพร้อมใช้งานและเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยบนท้องถนน
นอกจากนั้นแล้ว การทำประกันภัยรถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่เพิ่มความปลอดภัยทั้งรถยนต์และตัวเราเองอีกด้วย และหากใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์ สามารถซื้อประกันรถยนต์ผ่าน ttb touch ได้ เพราะรวมประกันจากหลากหลายบริษัทชั้นนำมาให้เปรียบเทียบได้เลย แถมมีโปรโมชันซื้อกับ ttb ทั้งคุ้มค่าและสะดวกมาก ถ้ามีแอปแล้ว สามารถคลิกดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์ และซื้อผ่านมือถือได้เลย คลิก หรือดาวน์โหลดแอป คลิก
หมายเหตุ :
- ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ข้อยกเว้น และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
- ในส่วนประกันรถยนต์ ttb broker เป็นนายหน้าประกันวินาศภัย ธนาคารเป็นเพียงช่องทางในการให้บริการผ่าน แอป ttb touch เท่านั้น
- ตรวจสอบรายชื่อบริษัทประกันภัยได้ที่ www.ttbbroker.com
ที่มา :
https://www.thairath.co.th/news/auto/tips/2143201
https://www.cockpit.co.th/post/195/5-วิธีเช็คสภาพรถยนต์เบื้องต้นด้วยตัวเอง-ก่อนเดินทางไกล