ช่วงเวลาที่ทุกธุรกิจกำลังตื่นตัวเรื่องการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ finbiz by ttb ขอรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์และเจาะประเด็นนี้กัน
EV Car เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก
อย่างในไทยปี 2023 นี้ EV Car จะโต 3 เท่า แตะ 4 หมื่นคัน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินการแข่งขันในตลาดรถยนต์ EV (Electric Vehicle : EV) ทั่วโลกมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น เพราะผู้ผลิตหลายรายปรับลดราคาขายลงเฉลี่ย 2-10% กระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจ EV Car อย่างรวดเร็ว ในไทยเองก็มียอดจดทะเบียนรถ EV เพิ่มขึ้นถึง 17 เท่าภายในเวลาเพียง 3 ปี และคาดว่าในปี 2023 นี้ยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งEV จะสูงถึง 40,812 คัน หรือขยายตัว 321.7% ส่วนหนึ่งจากแรงสนับสนุนของภาครัฐที่ตั้งเป้าให้ไทยผลิตรถยนต์ EV ให้ได้ 30% ภายในปี 2030 ซึ่งในระยะเริ่มต้น ไทยต้องนำเข้าจากจีนมาจำหน่ายในประเทศเป็นหลัก ก่อนจะสามารถผลิตเพื่อรองรับความต้องการในประเทศได้ช่วงปี 2024 - 2025 ซึ่งจะทำให้การผลิตเพื่อส่งออกอาจต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 - 5 ปี ดังนั้นค่ายรถที่จะลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในไทยจึงจำเป็นต้องบุกภาคธุรกิจมากขึ้น เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตให้ได้มากพอให้ถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วขึ้น
สถานการณ์ของ EV Car ทั่วโลกก็เติบโตเช่นกัน การคาดการณ์ของ BloombergNEF คาดว่า ในปี 2026 EV Car จะมีราคาเทียบเท่ารถยนต์สันดาป ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น การลดต้นทุนแบตเตอรี่ และการขยายกำลังการผลิตให้ได้ Economy of scale ของเหล่าผู้ผลิต ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปสู่รถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มตัว
ทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อ EV Car เติบโต
การแข่งขันด้านราคาในตลาดรถยนต์ EV ที่รุนแรงขึ้น อาจะกลายเป็น Game Changer กระทบตลาดรถยนต์ทั่วโลก โดยมีสาเหตุดังนี้
1) ความน่าสนใจในรถยนต์สันดาปลดลง (Internal Combustion Engine: ICE)
ปัจจุบัน รถยนต์ EV เป็นเหมือน “เครื่องใช้ไฟฟ้าติดล้อ” ซึ่งมีหัวใจหลักที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือ “แบตเตอรี่ไฟฟ้า” และ “เทคโนโลยี” ในขณะที่รถสันดาป (ICE) มีความโดดเด่นเฉพาะตัวแตกต่างไปตามแต่ละแบรนด์และประเภทของเครื่องยนต์ ซึ่งอาศัยการบำรุงรักษามากกว่า และด้วยการแข่งขันของผู้ผลิตที่รุนแรงขึ้น ทำให้ความน่าสนใจในแบรนด์รถดั้งเดิมที่ยังคงจำหน่ายรถยนต์สันดาปอาจลดน้อยลงไป
2) แบรนด์รถดั้งเดิมที่ปรับตัวได้ช้า อาจค่อย ๆ หายไป
เมื่อลูกค้ามอง EV Car ไม่ต่างอะไรจาก “สินค้าเทคโนโลยี” ที่มีการตกรุ่นไปตามยุคสมัย อาจทำให้รถรุ่นเก่ากว่ามีโอกาสตกรุ่นเร็วขึ้น เปรียบได้กับยุคที่เปลี่ยนผ่านจาก “มือถือ” สู่ “สมาร์ทโฟน” ที่ทำให้เจ้าตลาดมือถือยักษ์ใหญ่ของโลกในรุ่นก่อนค่อย ๆ หายไปจากตลาด และมาสู่ยุคที่เจ้าตลาดเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแทน ในอุตสาหกรรมก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน
3) ราคารถที่ปรับลงไม่เพียงกระทบตลาดรถมือหนึ่ง แต่ยังดึงราคารถมือสอง
จากการทยอยเปิดตัวรถยนต์นั่งไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่มีแนวโน้มจะขายถูกลง ซึ่งสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อตลาดรถยนต์ในหลายกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดรถหรู หรือแม้แต่ค่ายญี่ปุ่นและจีนในระดับ C และ D Segment ที่มีราคาขายใกล้เคียงกัน จนทำให้อุปทานรถยนต์นั่งมือสองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทำไมแนวทาง ESG จึงผลักดัน EV Car ให้ยิ่งเติบโตเร็วขึ้นอีก
เพราะทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีการออกทั้งกฎหมายและนโยบาย เพื่อผลักดันเรื่อง ESG ให้เป็นวาระโลกและวาระแห่งชาติ อาทิเช่น
- ประเทศไทยตั้งเป้าให้ไทยผลิตรถยนต์ EV ให้ได้ 30% ภายในปี 2030 ซึ่งคือปีที่ไทยมีเป้าหมายสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40%
- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำลังร่างพรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบคาร์บอนต่ำ ตั้งเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065
- หลายประเทศทั่วโลกมีข้อตกลงร่วมกันว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อร่วมกันรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
- ค่ายรถยนต์ที่เคยผลิตรถยนต์สันดาปรายใหญ่ เริ่มมีการประกาศวิสัยทัศน์ ที่จะขับเคลื่อนองค์กรด้วยแนวคิด ESG พร้อมตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะให้เป็นระบบไฟฟ้า เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ (Carbon footprint) ขับเคลื่อนโลกสู่สังคมไร้มลพิษ ไร้อุบัติเหตุ และส่งเสริมการสร้างSmart ecosystem รวมไปถึงค่ายรถยนต์อีกหลาย ๆ ค่ายที่ตั้งวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
โดยรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV Car) เข้ามาตอบโจทย์กระแสดังกล่าวครบถ้วนทั้งกระบวนการผลิตและใช้งาน โดยจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบกับรถยนต์สันดาป (Internal Combustion Engine : ICE Car) ได้กว่า 40% ทำให้การเติบโตเฉลี่ยต่อปีของ EV Car อยู่ในระดับมากกว่า 30% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาและมีแนวโน้มที่จะเติบโตในระดับสูงเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น และการขยายกำลังการผลิตจนได้ Economy of scale
อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนแปลง ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งปรับตัว
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า เรากำลังเปลี่ยนไปสู่ยุคที่ ESG เข้ามามีบทบาท และยังเป็นส่วนหนึ่งที่กระตุ้นให้ EV Car เติบโตอย่างรวดเร็ว กระทั่งว่าอาจเป็นไปได้ที่เข้ามาแทนรถยนต์สันดาปในที่สุด หากไม่มีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาแทรกแซง ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรจะเร่งหาโอกาสใหม่ โดย finbiz by ttb ได้วิเคราะห์ถึงกลุ่มที่จะอาจหาโอกาสใหม่ ๆ ได้ ดังนี้
- ผลิตชิ้นส่วนประกอบยานยนต์ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ที่ผลิตเฉพาะชิ้นส่วนประกอบที่ใช้กับระบบสันดาป เช่น เครื่องยนต์ ลูกสูบ หัวเทียน หม้อน้ำ ท่อไอเสีย ถังน้ำมัน เป็นต้น อาจต้องเริ่มต้นหาช่องทางใหม่ ๆ หรือกลับมาสำรวจตัวเอง ว่าทุกวันนี้เราผลิตได้แต่ในส่วนของรถระบบสันดาป หรือไม่ เราต้องมีการปรับเทคโนโลยี สายการผลิต หรือหาคู่ค้าเพิ่ม พัฒนาทักษะพนักงาน เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงในวันที่รถยนต์ EV Car จะเข้ามามีส่วนแบ่งทางตลาดแทนรถยนต์ในระบบที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงมากขึ้นเรื่อย ๆ
- ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่ สายไฟ มอเตอร์ต่าง ๆ ก็มีช่องทางโอกาสที่จะต่อยอดจากกิจการเดิมพัฒนาเพิ่มเติมไปสู่การผลิตอุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานของ EV Car ได้
- สถานีบริการน้ำมัน จะเริ่มเห็นโอกาสในรูปแบบใหม่ เช่น การเพิ่มเติมจุดบริการชาร์จ EV Car ซึ่งการชาร์จไฟฟ้าแต่ละครั้งใช้เวลาพอสมควรทำให้เห็นโอกาสของธุรกิจอื่น ๆ ที่สามารถอยู่ในสถานีบริการน้ำมันเดิมได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้เช่าพื้นที่เพื่อทำร้านอาหารหรือกิจการอื่น ๆ
- ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ สามารถเพิ่มเติมโอกาสจากจังหวะที่เหมาะสมนี้ โดยใช้กลยุทธ์ทางการตลาดกระตุ้นความสนใจจากช่วงเวลาที่ผู้คนสนใจในเทคโนโลยี และยังใส่ใจเรื่องราวของ ESG มากระตุ้นให้ EV Car มีความน่าสนใจมากขึ้นช่วยในการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วขึ้น พร้อมสร้างความรู้สึกการได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน สร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายในระยะนี้ โดยผู้ประกอบการต้องเร่งสร้างความพร้อมของศูนย์บริการหลังการขายสำหรับรถประเภทนี้ให้มากขึ้น
ส่งเสริมให้องค์กรมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
ในปัจจุบันที่ทั้งภาครัฐสนับสนุนให้องค์กรพัฒนาแนวคิด ESG รวมถึงภาคของผู้บริโภคก็ให้ความสนใจกับองค์กรที่ใส่ใจด้านความยั่งยืนของโลก ภาคธุรกิจจึงต้องเร่งนำแนวคิด ESG มาพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือการใช้พลังงานหมุนเวียน การติดตั้ง solar rooftop ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีอีกทางเลือกหนึ่ง ttb ขอแนะนำ สินเชื่อเพื่อติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ทีทีบี (ttb solar rooftop solution) ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเงินกู้ระยะยาว เพื่อติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ทีทีบี สนับสนุนเงินลงทุนเพื่อติดตั้งและบำรุงรักษาโซลาร์รูฟท็อป พร้อมด้วยพันธมิตรดูแลแบบครบวงจร เริ่มต้นจากช่วยจัดหาผู้ติดตั้งที่มีความชำนาญสูงและมีประสบการณ์ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปให้กลุ่มธุรกิจชั้นนำในประเทศไทย โดยสินเชื่อเพื่อติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ทีทีบี มีจุดเด่นดังนี้
- ประหยัดต้นทุน
ลดค่าใช้จ่ายค่าไฟในระยะยาว เพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ และไม่ต้องเสียค่าประเมินราคาหลักประกันแผงโซลาร์
- ประหยัดเวลาในการติดตั้ง สะดวก ไม่ยุ่งยาก
ด้วย ttb solar rooftop solution ที่พร้อมดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่จัดหาผู้ติดตั้งที่มีความเชี่ยวชาญ จนถึงการขออนุญาตติดตั้ง โดยที่ลูกค้าไม่ต้องดำเนินการเอง
- มั่นใจได้
ผู้ติดตั้งจะมีการออกหนังสือค้ำประกันการผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับลูกค้า และธนาคารสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับค่าธรรมเนียมบำรุงรักษาล่วงหน้าตลอดระยะเวลาสินเชื่อ
- รับวงเงินกู้สูงสุด 100% ของมูลค่าการลงทุนแผงโซลาร์
ด้วยสินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป โดยเฉพาะ พร้อมพันธมิตรมืออาชีพที่พร้อมให้คำแนะนำแบบครบวงจร การเริ่มต้นทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนด้วยแนวคิด ESG จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
ที่มา :
- ttb analytics
- กรุงเทพธุรกิจ
- ประชาชาติธุรกิจ
- NISSAN
- TOYOTA
- BloombergNEF
finbiz by ttb โครงการเสริมความรู้ธุรกิจ
“ครบ จบในที่เดียว ปรับใช้ได้ง่าย ต่อยอดได้จริง สู่การเป็น Smart SME”
ผ่านหลากหลายแพลตฟอร์ม พร้อมองค์ความรู้ที่ครบครัน จาก Partner ชั้นนำทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อให้ธุรกิจรับมือกับความเปลี่ยนแปลง พร้อมปรับตัวในยุคดิจิทัลและเติบโตอย่างยั่งยืน
อัปเดตทุกดิจิทัลเทรนด์ และความรู้ดี ๆ ที่ SME ไม่ควรพลาด
เพียงแอดไลน์ @ttbSME