เมื่อสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนแปลงจากโลกร้อนสู่ยุคโลกเดือด ทำให้ประเด็นความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจมิอาจมองข้ามได้...ธุรกิจจึงต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ควบคู่ไปกับประเด็นทางสังคม และธรรมาภิบาลที่ดี ครั้งนี้ finbiz by ttb ได้นำบทเรียนหนึ่งในหลักสูตร “LEAN for Sustainable Growth by ttb” รุ่นที่ 19 สำหรับอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ (Healthcare) โดย ดร.ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ หัวหน้าทีมวิจัยการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ได้มานำเสนอแนวคิดและ 4 เหตุผลหลักที่ทำไมองค์กรธุรกิจต้องใส่ใจ ESG
ทำไม...ชาวโลกจึงมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม
ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและกำลังมุ่งสู่โลกที่อุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ธรรมชาติ แต่เริ่มเห็นผลชัดเจนต่อสุขภาพมากขึ้น เช่น การเกิดโรคอุบัติใหม่ หรือการที่ภูมิอากาศแปรปรวนสร้างความอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
เมื่อปี 2015 ความยั่งยืนเริ่มกลายเป็นกระแสหลักทั่วโลก จากการประชุม COP21 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการนำเสนอ "ข้อตกลงปารีส" (Paris Agreement) ซึ่งเป็นข้อตกลงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญ
สำหรับประเทศไทยติด TOP 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้ประกาศกับประชาคมโลกว่าจะมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2065
สิ่งที่ตามมาจากกระแสความยั่งยืน จากการสะกิดให้ทุกฝ่ายหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม จึงทำให้เกิดสิ่งที่ตามมาดังนี้
- ทุกธุรกิจมีโจทย์ใหญ่ คือ ต้องปรับตัวให้ “อยู่ได้-อยู่ดี” ในยุคโลกเดือด
- นอกจากดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในขอบเขตการดำเนินงานของบริษัทเองแล้ว ทั้งห่วงโซ่อุปทานจะต้องหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน
- เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ไม่ใช่แค่การจัดการขยะ แต่เริ่มตั้งแต่ต้น ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงกระบวนการ จนไปถึงการใช้งาน และการกำจัดเมื่อผลิตภัณฑ์สิ้นอายุ
- บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องจัดทำรายงานความยั่งยืนเพื่อเปิดเผยข้อมูล ESG
- การเงินเพื่อความยั่งยืนเติบโตมากขึ้น มีการออกหุ้นกู้ ตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับความยั่งยืน แนวโน้มนี้ยิ่งมาแรงขึ้นจากการมีกองทุน Thai ESG
- รูปแบบการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้เน้นเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเดียว แต่ลงทุนเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติด้วย
- การเทคโนโลยี เช่น Climate Tech, AI เข้ามาช่วยในการจัดการความยั่งยืน
" ธุรกิจจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องเติบโตอย่างสมดุลทั้ง 3 ด้าน คือ People, Planet และ Profit โดยมองเรื่องของ
การลดผลกระทบเชิงลบ สร้างผลกระทบเชิงบวก ตลอดจนปรับตัวให้อยู่ได้และอยู่ดีในโลกที่เปลี่ยนไป "
4 เหตุผลที่ธุรกิจ ต้องเร่งใส่ใจ ESG
เหตุผลที่หน่วยงานทุกภาคส่วนต้องสนใจ การบริหารจัดการด้านความยั่งยืนองค์กร (ESG Management) ด้วยเหตุหลักเป็นคำคล้องจอง 4 หัวข้อ ดังนี้ “กฎมาชัวร์-กลัวเงินหาย-ขายให้จึ้ง-ดึง Talents” ซึ่งมีคำอธิบายดังนี้
1. กฎมาชัวร์ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา กฎเกณฑ์ มาตรฐาน และกรอบด้าน ESG เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ความเสี่ยงด้าน ESG ไม่ได้มองแค่รักษ์โลกอย่างเดียว แต่สามารถนำไปสู่ความเสี่ยงทางด้านการเงินได้ ดังนั้นจึงควรเริ่มเก็บข้อมูล GHG Emissions ขององค์กรตั้งแต่วันนี้ เพื่อจัดทำเป็นนโยบายและพร้อมเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก ที่สำคัญต้องผนวก ESG เข้าไปในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานด้วย
2. กลัวเงินหาย เพราะสถาบันการเงินและนักลงทุนให้ความสำคัญกับเครื่องมือทางการเงินและผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์การลงทุนเพื่อความยั่งยืน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) อย่างสินเชื่อสีเขียว ตราสารหนี้สีเขียว นอกจากนี้ ESG ยังช่วยประหยัดต้นทุนจากการเพิ่มประสิทธิภาพด้วย
3. ขายให้จึ้ง จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และกระแสรักษ์โลก ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม ทำให้ผู้บริโภคตระหนัก และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืนของโลกจึงมีความต้องการสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น
4. ดึง Talents มีการวิจัยพบว่าพนักงานที่มีคุณภาพ และคนรุ่นใหม่ต้องการทำงานกับบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และสนใจบริษัทที่มุ่งเน้นการทำ ESG
แนวทางสำหรับธุรกิจในการทำ ESG
องค์กรควรให้ความสำคัญกับการประเมินประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนด้วยการประเมินแบบ Double Materiality แม้ว่าจะไม่ได้มีกฎมาบังคับว่าจะต้องมีการเปิดเผยผลการประเมินแบบ Double Materiality ไว้ในรายงาน แต่การประเมินแบบนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจับประเด็นในการพิจารณาได้ และเป็นการแสดงออกถึงความใส่ใจในประเด็น ESG ที่เกี่ยวของกับบริบทองค์กร โดย Double Materiality จะพิจารณาผลกระทบด้านความยั่งยืนทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงิน (Non-Financial) แบบ Inside-Out / Outside-In
1) Inside-Out มองผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Impact Materiality) ว่าธุรกิจเราทำอะไรที่กระทบทางบวกและทางลบกับสังคมและสิ่งแวดล้อมบ้าง
2) Outside-in มองผลกระทบต่อธุรกิจ (Financial Materiality) ว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นกระทบกับการเงินของธุรกิจอย่างไร
เมื่อสามารถประเมินได้ ธุรกิจจะสามารถปรับปรุงพัฒนาธุรกิจตามแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนได้
เมื่อมีหลายประเด็นที่ต้องจัดการ ธุรกิจสามารถพิจารณาลำดับความเข้มข้นในการจัดการประเด็นดังนี้ “ทำตามกฎ > เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน > ลงทุนเพื่อสร้างนวัตกรรม”
1) ทำตามกฎ ทำรายงานตามระเบียบต่าง ๆ และดำเนินธุรกิจตามกฎที่มีการบังคับใช้ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่ง ณ ห้วงเวลานี้ธุรกิจควรเก็บข้อมูลก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้สามารถวางแผนในการพัฒนาต่อไป
2) เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เมื่อธุรกิจดำเนินการตามกฎระเบียบต่าง ๆ แล้วให้พิจารณาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ลงได้ และยังสร้างส่วนต่างระหว่างต้นทุน และรายได้ให้กับธุรกิจ
3) ลงทุนเพื่อสร้างนวัตกรรม เมื่อธุรกิจสามารถดำเนินงานอย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว ถึงเวลาของนวัตกรรมที่จะช่วยพัฒนาธุรกิจในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านของผลิตภัณฑ์ และ กระบวนการต่าง ๆ ที่ต้องมีการลงทุนเพื่อสร้างผลประกอบการที่ยั่งยืนในระยะยาว และสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น
โดยทั้ง 3 ขั้นตอนนี้จะต้องพัฒนาปรับปรุงอย่างไม่สิ้นสุด เพื่อให้ธุรกิจเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ เป็นธุรกิจที่ดำเนินงานตามแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ทั้งนี้องค์กรจะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง และสามารถสื่อสารเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยพึงระวังถึงการสื่อสารที่เกิดจริงจะเกิดเป็นการฟอกเขียว (Greenwashing) ได้ นอกจากนี้ Rainbow-washing หรือการฟอกรุ้ง ที่เป็นประเด็นทางสังคมในแง่การเคารพความหลากหลายเท่าเทียมก็สำคัญการในการสื่อสารเช่นกันว่าต้องมีนโยบายและการดำเนินการจริงไม่ใช่แค่การทำการตลาดตามเทรนด์เท่านั้น
ที่มา :
- ดร.ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ หัวหน้าทีมวิจัยการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จากอบรมหลักสูตร “LEAN for Sustainable Growth by ttb” รุ่นที่ 19 สำหรับอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ (Healthcare)