การนำพาธุรกิจสู่โลกแห่งความยั่งยืน และต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทำให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ มากมาย ในงานสัมมนา Sustainable Growth - The Way to Business of the Future ที่ ttb จัดขึ้น ได้เปิดโลกของ “CBAM” และ “Thailand Taxonomy” ให้ผู้ประกอบการมาเรียนรู้ เพื่อปรับเข็มทิศธุรกิจให้พร้อมรับมือความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ก่อนใคร
CBAM การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมี “ราคา” ที่ต้องจ่าย
คุณบุญรอด เยาวพฤกษ์ กรรมการ บริษัท เดอะ ครีเอจี้ จำกัด ที่ปรึกษาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ ได้มาให้ความรู้ในหัวข้อ “มาตรการ CBAM กับผลกระทบต่อธุรกิจไทย” สรุปได้ดังนี้
- ปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลกตั้งเป้าหมายบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี 2050 หรือ 2065 ก็ดี หมายความว่า ณ ปีนั้นๆ สินค้าหรือบริการต้องแทบจะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว หรือเหลือไม่เกิน 10 %
- ที่ผ่านมามีการใช้กลไกการกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) เช่น ทุกธุรกิจในสหภาพยุโรปที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะมี “ราคา” ที่ต้องจ่าย นำมาซึ่ง “ต้นทุน” ที่เพิ่มขึ้น ในรูปของภาษีคาร์บอน (Carbon Taxes) และระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme) เช่น รัฐบาลให้สิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโควตา 1 ใบ เท่ากับ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ในปีนั้น หากปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินก็จะต้องซื้อใบสิทธิเพิ่ม
- หลังจากที่มีการการบังคับใช้ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก (EU's Emission Trading System : EU ETS) ในยุโรป จึงก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านความสามารถทางการแข่งขันกับประเทศนอกสหภาพยุโรป จึงเป็นที่มาของมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการการค้าระหว่างประเทศ ในการนำสินค้าประเภทที่กำหนดเข้ามาขายในยุโรป จะต้องผ่านมาตรการ CBAM
- สุดท้ายทุกประเทศจะมี “ต้นทุนคาร์บอน” เกิดขึ้น เพราะมาตรการ CBAM จะบีบบังคับให้ประเทศคู่ค้าเริ่มมีกลไกราคาคาร์บอนเป็นของตนเอง เช่น ถ้าผู้ประกอบการไทยส่งออกสินค้าไปยังประเทศในยุโรป ก็ต้องจ่ายภาษีคาร์บอนข้ามแดน ยกเว้นว่าถ้าผู้ประกอบการจ่ายค่าคาร์บอนในประเทศของตนเอง ก็สามารถนำส่วนที่จ่ายในประเทศไปหักลบได้ กล่าวได้ว่า CBAM เป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยเร่งระบบเศรษฐกิจ Net Zero ให้ไปได้เร็วขึ้น
- นอกจากภาครัฐที่ออกกฎหมายมากระทบโดยตรง ทำให้ธุรกิจต้องหาทางปรับตัวด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกวิถีทาง เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อหรือเงินกู้สีเขียวจากธนาคาร ผู้ประกอบการขนาดกลางก็ยากจะเลี่ยงการปรับตัวได้พ้น เพราะต้องเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างซัพพลายเชนสีเขียว ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ต้องการสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ถ้าผู้ประกอบการสามารถสร้างอุปสงค์นี้ได้ ก็จะสามารถเข้าถึงตลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“วันนี้ Climate Change อาจเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับบางธุรกิจ แต่ทุกธุรกิจจะทยอยได้รับผลกระทบเป็นระลอก เพราะในอนาคตทุกตันคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราปล่อย ต้องจ่ายเป็นเงินทั้งหมด ถ้าไม่ทำอะไร รายได้หด กำไรหาย ส่งผลต่อการอยู่รอดของธุรกิจแน่นอน หลายบริษัทจึงเริ่มปรับตัว โดยผนวก Climate Change เข้าไปเป็นหัวใจของการทำธุรกิจ”
ปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ
มาตรการ CBAM เริ่มใช้กับ 6 กลุ่มสินค้าเป้าหมาย ได้แก่ เหล็ก อลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2023 โดยคาดว่าสหภาพยุโรปจะขยายเกณฑ์ไปยังกลุ่มสินค้าอื่น ๆ อีก ผู้ประกอบการการค้าระหว่างประเทศจึงต้องมีการปรับตัวและเตรียมความพร้อมที่ดี ทั้งนี้ มาตรการ CBAM ในสหภาพยุโรปแบ่งออกเป็น 2 เฟส
- สำหรับตรงนี้ก็จะมีคำถามว่าสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) หรือใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) มาชดเชยในมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรปได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คือ…ไม่ได้ เพราะเป็นกลไกภายในประเทศ ไม่ใช่ยังไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับมาตรฐานของกลไกใน EU
- สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังหาแนวทางในการเริ่มต้นแนะนำให้ผู้ประกอบการเริ่มจากการวัดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในระดับองค์กร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคมของปีนั้น ๆ คล้ายกับการทำงบการเงิน ซึ่งสิ่งนี้จะเรียกว่า “คาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร” รวมทั้งวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากสินค้าแต่ละหน่วย ตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้า เรียกว่า “คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์” เก็บเป็นข้อมูลเพื่อจัดทำรายงาน
- แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ผู้ส่งออกรายใหญ่ของยุโรป จึงอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ CBAM จะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้กลไกราคาคาร์บอนกระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ในอนาคตไม่ว่าจะนำเข้า-ส่งออกไปที่ประเทศใด ล้วนมีต้นทุนคาร์บอนที่ต้องจ่ายแน่นอน และมีผลกระทบต่อความสามารถทางการแข่งขัน
“Climate Change ไม่ใช่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็น Business Risk การจะเข้าถึงเส้นชัยได้ ผู้ประกอบการต้องรู้ข้อมูล วัดข้อมูลก่อนว่าองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไร ข้อมูลสำคัญมาก แล้วค่อยลงมือทรานสฟอร์มโมเดลธุรกิจหรือองค์กรเพื่อไปให้ถึง Net Zero ทำให้องค์กรแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ และพร้อมคว้าโอกาสต่างๆ ที่รออยู่ในโลกอนาคต”
Taxonomy มาตรฐานใหม่สู่ความยั่งยืน
คุณอรศรัณย์ มนุอมร ที่ปรึกษาจาก Climate Bonds Initiative (CBI) ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องในหัวข้อ “Thailand Taxonomy – มาตรฐานใหม่สู่ความยั่งยืน” โดยสรุปความสำคัญได้ดังนี้
- Taxonomy ไม่ใช่ภาษีตัวใหม่ แต่เป็นเครื่องมือที่สำคัญอีกตัวในการส่งเสริมเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ เนื่องจากโลกของเราประสบความท้าทายด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะการตั้งรับวิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศ จึงจำเป็นต้องเพิ่มการระดมทุนจากแหล่งต่างๆ เพื่อมาส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืน เช่น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ทำให้ตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) เติบโตมากในระดับโลก ผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่น Green bond, Green loan โดยปี 2022 เติบโตอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตลาดอาเซียนอยู่ที่ 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเทศไทยเป็นตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืนที่เติบโตเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน
- เพื่อป้องกันการกล่าวอ้างเกินจริง หรือการฟอกเขียว (Green washing) ประเทศต่าง ๆ จึงมองหาเครื่องมือมาสนับสนุนการสร้างความน่าเชื่อถือ ตอบโจทย์การลงทุนสีเขียว (Green finance) สำหรับประเทศไทยได้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Sustainable Finance Initiative ของประเทศไทย และต่อยอดสู่การพัฒนา Taxonomy ขึ้นมาใช้
- Taxonomy เป็นเหมือนพจนานุกรม เป็นระบบคำนิยามที่ใช้จำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรม สินทรัพย์ และส่วนรายได้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือสอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนที่สำคัญ โดยทั่วไป Taxonomy มีอยู่ 3 ประเภท สำหรับประเทศไทยเป็นแบบจัดหมวดหมู่ตามเกณฑ์การคัดกรองทางเทคนิค (Technical screening criteria-based taxonomies) ซึ่งปัจจุบัน Taxonomy รุ่นใหม่จะใช้ระบบนี้
“Taxonomy ช่วยสร้างความชัดเจนและความโปรงใสเรื่องการลงทุนสีเขียว และหลีกเลี่ยงการฟอกเขียว ทั้งยังดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่มุ่งลงทุนในกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนต่าง ๆ ที่อ้างอิงกับคำนิยามสากล ทั้งนี้ Taxonomy ไม่ใช่ลิสต์สิ่งที่ “ดี” หรือ “ไม่ดี” “ห้ามทำ หรือ “ให้ทำ” และเป็นเอกสารที่มีการอัปเดตเสมอ ภาคธุรกิจอาจใช้ Taxonomy เป็นคู่มืออ้างอิงในการจัดพอร์ตโฟลิโอกิจกรรม เก็บและเปิดเผยข้อมูลด้านการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้”
สาระสำคัญของ Thailand Taxonomy
- Thailand Taxonomy เป็น Green Taxonomy เกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก และลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย Thailand Taxonomy ระยะที่ 1 คลอบคลุมภาคพลังงานและการขนส่ง
- เกณฑ์การประเมิน Thailand Taxonomy ใช้ระบบจัดกิจกรรม 3 ระดับ (Traffic-Lights System) โดยประเมินตามหลักวิทยาศาสตร์ เป็นเกณฑ์ที่ชัดเจน และยึดหลักความเป็นกลางทางเทคโนโลยี ดังนี้
- สีเขียว คือกิจกรรมที่มีการดำเนินงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสของข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) เนื่องจากเป็น Net Zero แล้วหรือใกล้เคียงแล้วในปัจจุบัน เช่น การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ไฟฟ้าพลังงานลม ฯลฯ โดยมักใช้กับกิจกรรม สินทรัพย์หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในภาคการขนส่ง
- สีเหลือง คือกิจกรรมที่มีศักยภาพสามารถเดินทางไปสู่ความเป็น Net Zero ได้ โดยมีแผนการเปลี่ยนผ่านตามเส้นทางการลดคาร์บอนและกรอบเวลาที่น่าเชื่อถือ ส่วนใหญ่ใช้กับการปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (retrofit) เช่น โรงไฟฟ้าชีวภาพที่มีแผนปรับปรุงเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงในระยะสั้น
- สีแดง คือกิจกรรมไม่ได้สามารถพิจาราณาได้ว่าสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และที่สำคัญคือ อยู่นอกเหนือขอบเขตการเปลี่ยนผ่านที่น่าเชื่อถือ เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน ฯลฯ และสมควรที่จะลดหรือยุติการใช้ให้เร็วที่สุด
- ผู้ประกอบการสามารถลองนำ Taxonomy มาใช้สกรีนพอร์ตโฟลิโอได้ โดยแยกบริษัทออกเป็น “กิจกรรมย่อย” แล้วพิจารณาดูว่าแต่ละกิจกรรมอยู่ในระดับสีอะไร มีสีเขียว สีเหลืองกี่เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ กิจกรรมสีเขียวและสีเหลืองต้องไม่สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ (Do No Significant Harm) ต่อการให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ และคำนึงถึงผลกระทบด้านสังคมไปพร้อม ๆ กัน (Minimum Social Safeguards)
“Taxonomy ถือเป็นเทรนด์ของโลก การที่ประเทศไทยพัฒนา Taxonomy ขึ้นมาใช้ ก็เหมือนมี “ตะแกรง” ที่สร้างความชัดเจนและสร้างโอกาสให้กับธุรกิจของประเทศไทย ผู้ประกอบการสามารถใช้ Taxonomy เป็นเข็มทิศในการลงทุน เพื่อเตรียมตัวสร้างพอร์ตโฟลิโอของการลงทุนสีเขียว เน้นว่า Taxonomy เป็นเครื่องมือที่ใช้อ้างอิงตามความสมัครใจ ยังไม่ได้เป็นกฎหมาย อีกหน่อยจะมี Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 คาดว่าจะขยายไปถึงภาคเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น ภาคการผลิต ภาคการเกษตร ก็ขอให้ติดตามความคืบหน้าต่อไป”
ที่มา :
- งานสัมมนา Sustainable Growth - The Way to Business of the Future โดย ttb
finbiz by ttb
โครงการเสริมความรู้สู่การเป็น Smart SME ผ่านหลากหลายแพลตฟอร์ม
พร้อมองค์ความรู้ ที่ครบครัน จาก Partner ชั้นนำทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน
เพื่อให้ธุรกิจสามารถก้าวผ่านความท้าทายของโลกปัจจุบัน
ปรับตัวตอบโจทย์ยุคดิจิทัล พร้อมมุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
อัปเดตทุกดิจิทัลเทรนด์ และความรู้ดี ๆ ที่ SME ไม่ควรพลาด
เพียงแอดไลน์ @ttbSME